การเมือง – ‘จตุพร’หวั่นสังคมไทยจะระเบิดครั้งใหม่ แนะ’นช.ทักษิณ’กลับคุก ทิ้งภาพลักษณ์เทวดา

วันอังคาร ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2566, 22.12 น.

“จตุพร”ส่งสัญญาณเมื่อ“ยุติ-ธรรม”กับทักษิณ ไม่ก่อผลดี เท่ากับทำลายหลักยึดปฏิบัติเท่าเทียมกับนักโทษต้องคนอื่น เตือนอย่าสุมไฟอารมณ์จนถึงขีดเดือดดาล หวั่นความระอุจะระเบิดรุนแรง แนะ นช.แม้วกลับคุก ทิ้งภาพลักษณ์เทวดา ทำตัวเป็นคนปกติ เชื่อผู้คนให้อภัยเหมือนคดี“เจ้าสัวเปรมชัย”

เมื่อวันที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมา นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ว่า ทักษิณ ชินวัตร นอนพักรักษาป่วยที่ รพ.ตำรวจนานนับเดือน แสดงถึงกระบวนการยุติธรรม ได้ยุติ-ธรรม ละเว้นหลักยึดปฏิบัติให้บางคนเท่ากับสะสมอารมณ์ไม่พอใจของประชาชนรอถึงวันระอุเดือดขึ้นมา ซึ่งสักวันหนึ่งสถานการณ์ย่อมจะเปลี่ยนเป็นสิ่งใหม่ได้ทันที
นายจตุพร กล่าวว่า หลากหลายนักโทษโดยเฉพาะอดีตรองนายกฯ และรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลทักษิณ เมื่อถูกคดีอาญาได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและติดคุกข้อหาทุจริต ล้วนไม่ได้รับโอกาสไปนอนป่วยรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจแบบทักษิณได้รับตั้งแต่เดินทางกลับประเทศไทยเมื่อ 22 ส.ค. ที่ผ่านมาหลังจากหนีคดีอาญาไปต่างประเทศนาน 17 ปี

“นักโทษคนอื่นไม่เคยได้รับการอภัยโทษเฉพาะราย ไม่มีโอกาสใช้ชีวิตที่ รพ.ตำรวจ แต่มากที่สุดคือ ได้อยู่ รพ.ราชทัณฑ์ ซึ่งเข้าใจกันได้กับอาการเจ็บไข้ได้ป่วย ทั้งที่กรณี รพ.ตำรวจเป็นความใฝ่ฝันของบรรดานักโทษทั้งหลาย ถ้าได้มานอนรักษาตัวสัก 1-2 วันถือว่าเป็นโชคดีของชีวิตนักโทษ”

นอกจากนี้ นายจตุพร เปรียบเทียบการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมระหว่างนายเปรมชัย กรรณสูต อดีตประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กับทักษิณว่า นายเปรมชัย ถูกดำเนินคดีอาญากรณีล่าเสือดำในเขตป่าสงวนแห่งชาติทุ่งใหญ่ฯ เมื่อถูกจับได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทุกอย่างและถูกพิพากษาลงโทษติดคุกแสดงถึงการน้อมรับกระบวนการยุติธรรม เมื่อพ้นโทษคนไทยให้อภัยกับความผิดที่ก่อขึ้น

ส่วนทักษิณ หลังจากนอน รพ.ตำรวจแล้วนั้น ตนเห็นการเคลื่อนไหวถึง 2 ครั้ง โดยครั้งแรกก่อนครบกำหนด 30 วันก็ให้ลูกสาวออกมาพูดว่า ได้ผ่าตัดเพื่อจะอยู่ต่ออีก 30 วัน และเมื่อจะครบ 60 วันก็มีภาพเข็นเตียงคนไข้ออกมา ซึ่งคนสงสัยว่า ตั้งใจหรือไม่

นายจตุพร กล่าวว่า ความจริงถ้าบ้านเมืองยุติที่ธรรมกันจริงๆ ไม่ว่าในส่วนของราชทัณฑ์ หรือ รพ.ตำรวจ คงได้ติดคุกกันระนาว แม้มีคนมีความสุขคงไม่เกินหนึ่งคน แต่ที่เหลือล้วนรู้ข้อเท็จจริงตามเนื้อผ้าว่า คืออะไร เพราะเป็นคนที่หน่วยงานเกรงใจ

รวมทั้งกล่าวว่า ทั้ง รพ.ตำรวจกับราชทัณฑ์ มีระบบวัฒนธรรมเรียกผู้บังคับบัญชาว่า “นาย” ดังนั้น คำสั่งนายจึงถือปฏิบัติ ยิ่งการรักษาหากหมอสั่งจ่ายยาและต้องซื้อในอาคารแพทย์ไม่มี หมอยังรับรองให้ญาติซื้อจากนอก รพ.มาได้ตามใบสั่งแพทย์

“อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ นั้น ไม่ใช่มีความประสงค์อาฆาตมาดร้าย เพียงแต่ต้องการให้นักโทษทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเดียวกัน การได้ลดโทษจาก 8 ปีเหลือปีเดียวและเรือนจำยังปรับปรุงห้องคุมขังให้ใหม่เฉพาะตัว เป็นห้องกว้าง ซึ่งถือว่าโชคดีที่สุดแล้ว ส่วนอาหารการกินสั่งซื้อได้ตามที่เรือนจำกำหนด โดยสิ่งสำคัญคือ บ้านเมืองเราจะอยู่กันด้วยสภาพอย่างนี้เหรอ”

พร้อมกล่าวว่า ถ้ายึดตามกระบวนการยุติธรรม หากทักษิณ เข้าคุกถูกขังอยู่ในเรือนจำสักระยะหนึ่งแล้วเข้า รพ.ตำรวจ คนอาจไม่สงสัย แต่การอยู่ในเรือนจำเพียงกว่า 10 ชั่วโมง ทั้งยังไม่รู้ได้ถอดเสื้อถ่ายรูปทำบัตรนักโทษด้วยหรือไม่

นายจตุพร ย้ำว่า เรือนจำมีกล้องวงจรปิดมากที่สุด เช่นเดียวกับ รพ.ตำรวจ อีกอย่างการจัดชุดเฝ้านักโทษหนึ่งรายต้องใช้ผู้คุม 4 รายจัดเวรคอยเฝ้า อย่างไรก็ตาม เมื่อบ้านเมืองปล่อยให้ธรรมได้ยุติไปแล้วจึงไม่ถูกต้อง

รวมทั้ง กล่าวว่า ทักษิณ ได้รับโอกาสจากกระบวนการยุติธรรมมาตามลำดับ เช่นคดีก่อการร้ายเมื่อครั้งชุมนุมทางการเมืองปี 2553 ก็ยังถูกถอดและหลุดจากถูกฟ้องเป็นจำเลยที่หนึ่ง ส่วนคนอื่นกลับเป็นผู้ต้องหาตามเดิม โดยคนสั่งไม่ฟ้องทักษิณ ต่อมาได้รับตำแหน่งในรัฐบาลด้วย

อีกทั้งยกกรณีว่า ตนกับทักษิณพูดเหมือนกัน แต่ตนถูกคดีแพ่ง โดนไล่ยึดทรัพย์โดยอ้างว่า เป็นประธาน นปช. ซึ่งช่วงนั้นยังไม่ได้เป็นประธานด้วยซ้ำ ส่วนทักษิณถูกยกฟ้อง อีกอย่างในช่วงจะออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยเฉพาะคดีทางการเมืองที่ทำให้ชาวบ้านต้องติดคุกและตายในเรือนจำก็มี เพียงเพราะทักษิณ ต้องการให้ได้รับการนิรโทษกรรมในคดีทุจริตด้วย

“สิ่งที่สำคัญตลอดเวลาที่ (ทักษิณ) เข้ามาตั้งแต่ 22 ส.ค. นั้น ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า แม้การได้รับพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างความไม่สบายใจ แต่ทุกคนน้อมรับ อีกทั้งคิดว่าเวลาที่ลดโทษเหลือหนึ่งปี หากได้ติดคุกอย่างตรงไปตรงมาก็นานมากพอเช่นกัน เมื่อไม่ได้ติดคุกสักวันเดียว ยิ่งจะเป็นปัญหา”

นายจตุพร กล่าวว่า ในหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจะปล่อยปละละเลย หรือจะให้เป็นพระราชภาระ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก ดังนั้น เมื่อได้รับพระมหากรุณาธิคุณถึง 7 ปีแล้วก็ควรเดินเข้าสู่ตามพระราชโองการนั้น หวังว่า จะคิดกันได้ ทั้งๆที่เรือนจำได้ปรับปรุงเตรียมห้องคุมขังรองรับทักษิณติดคุกอย่างดีที่สุดแล้ว ก็ไม่มีใครว่าอะไร

“ขอให้ช่วยกันคิด อีกหน่อยจะครบ 90 วัน จะมีปัญหาต่อ แล้วจะเรียงเรื่องราวกันไปอีก ซึ่งรู้กันอยู่เต็มอก เพียงแต่หวังว่า การอยู่ภายใต้ประเทศในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ได้เป็นผลดีใดๆ เลย ที่ต้องแบกรับอารมณ์ของประชาชนไปเรื่อยๆ แม้ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่หากถูกสะสมอารมณ์ไว้นานวันเข้า เรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่”

อีกทั้ง กล่าวว่า ในความจริงของคนเสื้อแดงต่อสู้เพื่อทักษิณนั้น ต้องติดคุก หรือตายในคุก แล้วยังมีชีวิตอยู่ด้วยความยากลำบาก ซึ่งล้วนเป็นความจริง ดังนั้น ต้องเข้าใจความรู้สึกด้วย อย่าได้เชียร์คนจนหน้ามืด ผิดต้องว่ากันตามผิด โดยคนชุมนุมทางการเมืองผ่านกระบวนการยุติธรรมในเรื่องเดียวกันต้องติดคุกเหมือนกัน

“แต่ทักษิณไม่ติดคุก จึงอยากให้คิดกันดีๆ ถ้าคิดว่าเมื่อมีอำนาจ ได้ชนะแล้ว และธรรมได้ยุติไปแล้ว ก็ทำกันไป ก็ยั่วอารมณ์ประชาชนกันไปเรื่อยๆ คือคนที่นิ่งขณะนี้ไม่ได้หมายความว่า เขาเห็นด้วย ถ้าอารมณ์สะสมลงล็อกจะเป็นอีกสถานการณ์ทันที ดังนั้น คิดกันก็แล้วกัน ความจริงถ้าปล่อยวางแล้วกลับเรือนจำ เข้ามาอยู่ในห้อง (ที่ปรับปรุงไว้รองรับ) นับว่าดีที่สุดในเรือนจำแล้ว”

นายจตุพร ระบุถึงหน่วยงานเกี่ยวข้องว่า อย่าได้ทำให้ธรรมมันยุติ แต่ต้องสร้างความยุติธรรม และเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่สื่อบางสำนักว่า เป็นฝ่ายแค้น ทั้งที่ไม่มีอะไรแค้นเลย แต่กระบวนการยุติธรรมละเว้นปฏิบัติให้นักโทษบางคน ส่วนคนอื่นติดคุกและรักษาตัวที่ รพ.ราชทัณฑ์ ไม่ได้ไปนอน รพ.ตำรวจ เท่ากับธรรมยุติลง โดยละเว้นให้บางคน

“เมื่อคำพิพากษาสิ้นสุดแล้ว ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเดียวกัน เพราะบ้านเมืองควรมีหลัก ที่สำคัญถ้าคนไทยไม่สามารถแยกแยะระหว่างความรู้สึกส่วนตัวกับความยุติธรรมได้ โดยเกิดกับพวกตัวเองอะไรก็ได้ แต่กับคนอื่นก็เรียกร้องหาความยุติธรรม มันไม่ใช่นะ”

พร้อมย้ำว่า เมื่อทักษิณ ได้รับการอภัยโทษ แล้วยังยอมรับถึงการกระทำผิดด้วย ดังนั้น การเข้าเรือนจำสักวันจะเป็นอะไรไป แต่กลับมาเข้าไปแว็บหนึ่งเท่านั้น ถ้าบ้านเมืองไม่มีหลักยึดมั่นแล้ว เมื่อถูกสะสมความรู้สึกกันมากขึ้น สังคมไทยจะเกิดการระเบิดครั้งใหม่อีก